
พระสงฆ์ – วิทยุชุมชน เครือข่ายสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยังทรงพลัง
ในเวทีเสวนา “แลกเปลี่ยนประสบการณ์การขับเคลื่อนสื่อสร้างสรรค์ เพื่อการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ภาคกลาง” เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2567 ที่จังหวัดกาญจนบุรี มีประเด็นน่าสนใจและขยายผลคือ การใช้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ของผู้ผลิตสื่อที่เป็นพระสงฆ์และเครือข่ายวิทยุชุมชน ซึ่งต้องถือว่า แม้ไม่ใช่สื่อกระแสหลัก ไม่ใช่สื่อโซเชียล แต่ข้อมูลจากการแลกเปลี่ยนทั้งผู้ฟังและผู้อ่านจะได้เห็นถึงการปรับตัวจากยุค Disruption และเป็นกลุ่มพลังที่สามารถก่อบทบาทสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคม
บทบาท “พระ” ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง
ศาสตราจารย์ ดร.พระมหาบุญเลิศ ช่วยธานี รอง ผอ.วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทราวดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย มีประสบการณ์ทำงานโครงการร่วมกับกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ หลายโครงการ ล่าสุดปี 2566 กำลังขับเคลื่อนโครงการ “สูงวัยอย่างสร้างสรรค์ รู้ทันมิจฉาชีพดิจิทัล” กล่าวถึงประสบการณ์การทำงานร่วมเป็นภาคีเครือข่ายกับกองทุนสื่อฯ ว่า ก่อนหน้านี้วงการคณะสงฆ์จะมีการขับเคลื่อนโครงการหลายๆ โครงการ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีเป้าเดียวคือการส่งเสริมสุขภาวะชองพระสงฆ์เป็นหลัก แต่จริงๆ แล้วปัญหาใหญ่ของคณะสงฆ์ในขณะนั้นคือ ปัญหาที่พระสงฆ์กลายเป็นผู้แชร์ข่าวปลอมเสียเอง ในสถานการณ์ที่อาตมาก็อยู่ในกลุ่มไลน์หลายๆ กลุ่มของคณะสงฆ์ แล้วก็เห็นการส่งไลน์ เช่น ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาเป็นมุสลิม อะไรทำนองนี้ และมีข่าวที่พระท่านแชร์เยอะมาก คำถามก็คือ ถ้าสมมุติอาตมาแชร์ข่าว ซึ่งเป็นข่าวปลอมให้ญาติโยม แล้วกล่าวตอกย้ำว่าข่าวนี้เป็นจริง โยมจะเชื่อตามอาตมาหรือไม่ สถานะของอาตมาทำให้โยมเชื่อได้ง่ายขึ้น ปัญหามันเกิดตามมา มันจะมีคนอีกมากมายที่เชื่อว่าสิ่งที่พระแชร์ไปเป็นข่าวจริง

painpoint นี้จึงเป็นที่มาของโครงการแรกที่เราทำกับกองทุนสื่อฯ คือโครงการเครือข่ายพระสงฆ์เฝ้าระวังสื่อชวนเชื่อทางศาสนา เราต้องการใช้หลักการทางศาสนาแก้ปัญหาสังคม โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งทางด้านสื่อ สโลแกนของโครงการนี้ก็คือ “สร้างสื่อสันติ ลดอคติทางศาสนา” โดยใช้หลักการทางพุทธศาสนา ไม่เอาสื่อไปกระทบใคร ไม่เอาสื่อไปทำร้ายใคร และยิ่งมาตอกย้ำสังคมให้เห็นชัดเรื่องปัญหาสื่อ คือสถานการณ์บ้านกกกอก มีเวทีหนึ่งนิมนต์อาตมาไปพูดร่วมกับผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวใหญ่ๆ หลายแห่ง คือการชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ที่สื่อควรได้กับจริยธรรมต่อสังคม สื่อจะเลือกทางเดินไหน ซึ่งสื่อก็ตอบว่าจริยธรรม แต่ก็ทิ้งผลประโยชน์ไม่ได้ เพราะฉะนั้น บ้านกกกอกจึงกลายเป็นประเด็นที่สื่อทำให้ชุมชนเกิดความแตกแยก ขัดแย้ง อาตมาเลยคิดว่าเราต้องมาจับงานสื่อ และสร้างพระสงฆ์ให้กลายเป็น Fact Checker ในชุมชนให้ได้มากที่สุด จึงเป็นที่มาที่เราได้สมัชชาพระสงฆ์ พระนักสื่อสารสร้างสันติขึ้นมา ประมาณ 700 กว่ารูปทั่วประเทศที่มาเข้ากระบวนการ ล่าสุด ทีมงานก็ลงพื้นที่ไปจัดอบรม Hate Speech และ Cyber Bullying ให้เด็กที่โรงเรียนภัทรญาณวิทยา อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม นี่คือผลผลิตจากโครงการที่เราทำกับภาคีเครือข่ายหลักคือกองทุนสื่อฯ
ดังนั้น ถ้าถามว่าประสบการณ์จากการทำงานกับกองทุนสื่อฯ ในนามของคณะสงฆ์ สร้าง impact สร้าง outcome อะไรเกิดขึ้นมาบ้าง สิ่งแรกเลยที่เห็นชัดเจนก็คือพระสงฆ์ตื่นรู้เรื่องนี้มากขึ้น หัวใจสำคัญของพระสงฆ์คือ ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เย็นให้สัมผัส เขาต้องไปพูด ไปแสดงให้ชาวบ้านเห็น เช่น เกิดเรื่องนินทาในชุมชน พระจะแก้ปัญหาให้ชาวบ้านว่าเรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร ท่านก็ต้องเข้าไปหาปัญหานั้น เพราะถ้าเราปล่อยให้เสียงนินทานั้นเจริญเติบโตขึ้น ความขัดแย้ง ความไม่ไว้วางใจในชุมชนก็จะเกิดขึ้น หลายที่ พระท่านก็ไปก่อตั้งกลุ่มเด็กอาสาสมัคร แล้วท่านก็ไปรณรงค์โดยการทำหนังสั้น ที่เด็กๆ ในชุมชนแสดงกันเอง เอาไปฉายให้ชาวบ้านดู ซึ่งมี impact มาก ทำให้ชาวบ้านเริ่มรู้สึกว่าการเสพข่าว ไม่ใช่ว่าเราต้องเชื่อตามนั้นเลย มีสติสัมปชัญญะที่จะไตร่ตรองก่อน รู้เท่าทันข่าวสารข้อมูลมากยิ่งขึ้น
อีกประเด็นคือต้องทำความเข้าใจกับญาติโยมเรื่องนี้ เวลาเราพูดถึงกองทุนสื่อฯ ให้ทุน ก็คือให้ทุนไปทำสื่อ แต่ทำไมพระเอามาสร้างพระ อาตมาเชื่อว่า “คน” นี่แหละคือสารตั้งต้นของ “สื่อ” คนคือสื่อตัวดีที่สุดเลย ถ้าคนรู้จักใช้ รู้จักแยกแยะ คือคนที่จะตัดสินว่าจะใช้สื่ออย่างไร คนจึงสำคัญที่สุด เราเลยต้องสร้างคนให้กลายเป็นสื่อ

สร้างสื่อบุคคล สร้างเครือข่าย
ยกตัวอย่างงานที่ทำร่วมกับกองทุนสื่อฯ มา อาทิ สื่อสร้างสรรค์เพื่อการรู้เท่าทันข่าวชวนเชื่อทางศาสนา เช่น เรื่องหวย เรื่องมุสาวาท มีทำเนียบพระสงฆ์นักสื่อสารสร้างสันติ จำนวน 713 รูป การจัดเวทีสื่อสาธารณะ “สร้างสื่อสันติ ลดอคติทางศาสนา” ให้โรงเรียนต่างๆ ได้เข้ามาร่วมประกวดโครงงานต่างๆ ทำงานวิจัย ถอดองค์ความรู้เพื่อให้พระนำไปใช้ ทำคู่ขนานกันไป และที่สำคัญที่สุด เราถือว่าเป็นความสำเร็จยิ่งใหญ่คือการบรรจุรายวิชา “การรู้เท่าทันสื่อ” เข้าไปในหลักสูตร เป็นวิชาสำหรับนิสิตระดับปริญญาตรี มจร ทั่วประเทศ เมื่อนิสิตของมหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 หมื่นกว่ารูป/คน ทั่วประเทศ ได้เรียนรู้เรื่องนี้ ก็สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ และต่อยอดในการสั่งสอนผู้อื่นได้
อีกโครงการหนึ่งก็คือ โครงการพลังเยาวชนไทย ร่วมสร้างสังคมปลอดภัยไร้ Hate speech มีนักเรียนทั่วประเทศเข้าร่วมกว่า 5,000 คน เด็กๆ สามารถสร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง ผ่านโครงการที่เกี่ยวกับสัมมาวาจาเพื่อไปไล่มุสาวาจาออกไป
สำหรับความยากของพระในการเข้าไปขับเคลื่อนเรื่องการรู้เท่าทันสื่อ คือ เวลาพระไปขับเคลื่อนเรื่องสื่อ บางคนก็จะมีทัศนะว่ามันแปลกๆ แต่พอเราทำไป การยอมรับก็มากขึ้น ยิ่งเราพูดอะไรไปคนก็ยิ่งเชื่อเรามากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเป็นโอกาสดีของเรา เหมือนเอาคัมภีร์มาถ่ายทอด โดยที่ชาวบ้านสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง เพราะเรื่องของสื่อเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเขา พอพระไปพูดเรื่องที่ใกล้ตัว และเป็นเรื่องที่ทันสมัย และพูดได้อย่างทันสมัย ชาวบ้านก็เริ่มรู้สึกว่าธรรมะที่เมื่อก่อนได้แต่ฟัง ตอนนี้ก็นำไปปฏิบัติได้ด้วย
พระมหาบุญเลิศ ทิ้งท้ายว่า ตอนนี้สื่อมีอิทธิพลต่อสังคม และเป็นทั้งปัจจัยบวกที่ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ดี แต่ขณะเดียวกันก็เป็นปัจจัยที่เป็นตัวทำลายให้สังคมอยู่กันอย่างหวาดระแวงได้ เพราะฉะนั้น อาตมาก็ขอฝากในเชิงพุทธศาสนา เวลาเราไปทำกิจกรรมร่วมกับเด็กเยาวชน เราก็จะเน้นเรื่องสติ เรื่องสัมปชัญญะ เรื่องของหลักกาลามสูตร ซึ่งสอนว่า เราเชื่อได้ แต่ก่อนจะเชื่อควรพิจารณาใคร่ครวญให้ดีก่อน “คิดแบบตัว U” เวลาคิด ฐานมันอยู่ข้างล่าง ค่อยๆ ไตร่ตรอง จนกว่าจะลงมาถึงฐานแล้ว ข้อมูลเราเพียงพอแล้ว เราถึงค่อยตัดสินใจเชื่อ นิสัยคนไทยชอบด่วนตัดสินใจว่าคนนั้นผิด คนนั้นถูก เพราะฉะนั้น เปลี่ยนวิธีคิดใหม่ และสามารถอยู่ร่วมกับสื่อ ในบรรยากาศที่สื่อมาทั้งบวกทั้งลบได้
“วิทยุชุมชน” สื่อสะท้อนปัญหาชุมชน
คุณวิชาญ อุ่นอก เลขาธิการ สหพันธ์วิทยุชุมชนแห่งชาติ กล่าวว่า การให้มาพูดเรื่องวิทยุชุมชน ณ พ.ศ.นี้บางทีก็เป็นเรื่องยาก เพราะวิทยุชุมชนเกิดขึ้นมาครั้งแรก พ.ศ.2540 ที่มีรัฐธรรมนูญ และเกิดขึ้นที่จังหวัดกาญจนบุรีเป็นที่แรก พ.ศ. 2544 ในยุคหนึ่งวิทยุชุมชนหรือวิทยุท้องถิ่น โดนมองว่าเป็นช่องทางหนึ่งในการเผยแพร่ข้อมูลที่อาจจะบิดเบือน เกินจริง เป็น fake news ผ่านวิทยุชุมชนเยอะ แต่พอมายุคปัจจุบัน ภูมิทัศน์สื่อเปลี่ยนแปลงไป จากสื่อกระจายเสียงมาเป็นสื่อโซเชียล แต่วิทยุชุมชนหรือวิทยุท้องถิ่นก็ไม่ได้หายไป

สหพันธ์วิทยุชุมชนแห่งชาติ เป็นการรวมกลุ่มของผู้ประกอบการวิทยุชุมชน ที่ไม่มีการโฆษณาตามหลักการวิทยุชุมชน ของชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน ปัจจุบันมีสมาขิกทั่วประเทศ ประมาณ 50 สถานี ตั้งแต่เรามีกองทุน กทปส. ของ กสทช. หรือกองทุนสื่อฯ ก็ยังไม่มีหน่วยงานไหนมาสนับสนุนวิทยุชุมชนโดยตรง จึงไม่แปลกที่ทุกวันนี้สื่อชุมชนจะไม่มีเรี่ยวแรงมาขยับเขยื้อนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ใช้สื่อเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้โทษหน่วยงานที่สนับสนุน แต่มีหลายปัจจัยที่ทำให้สื่อชุมชนไปไม่ถึง ไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้
ในอดีตเวลาประชาชนมีปัญหา หรือมีเรื่องราวดีๆ จะสื่อสารกับสังคมภายนอก เราไม่มีช่องทาง เราต้องอาศัยสื่อกระแสหลักมาพูดให้เราว่าเราเดือดร้อน อย่างเมืองกาญจน์เมื่อก่อนสู้เรื่องท่อก๊าซไทย-พม่า สู้เรื่องเขื่อนน้ำโจน คนที่ทำวิทยุชุมชนบอกว่า เราต้องไปขอร้องให้สถานีหลักช่วยพูดให้หน่อย แต่วันนี้ประชาชนลุกมาทำสื่อเอง เป็นสถานีวิทยุเล็กๆ เรียกว่าวิทยุชุมชน เขาเป็นเจ้าของสื่อ ซึ่งตรงกับปรัชญาการปฏิรูปสื่อ 3 เรื่อง คือ สื่อนั้นเป็นของประชาชน โดยประชาขน และเพื่อประชาชน 20 กว่าปีที่ผ่านมา เราเจอกับการเปลี่ยนผ่านของวิทยุชุมชน เราก็เปลี่ยนมาเยอะ พี่น้องที่มาจัดรายการบางคนไม่เคยจัดรายการ เรามีการพัฒนาศักยภาพผู้จัดรายการ การจัดทำคู่มือจริยธรรมวิทยุชุมชน เพื่อกำกับดูแลกันเอง อะไรพูดได้ อะไรพูดไม่ได้ การจัดทำกองทุนวิทยุชุมชน เพราะเราไม่ได้ทุนสนับสนุนจากภายนอก และเรื่องสำคัญคือการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล การใข้สื่อโซเชียลมีเดีย เดี๋ยวนี้การจัดวิทยุชุมชนก็ต้องจัดผ่านเฟซบุ๊ค ผ่านอินเตอร์เน็ต หลายสถานีมีเว็บไซต์เป็นของตนเอง
ช่วงหลังผมมาทำเรื่องคนไร้บ้าน คนเร่ร่อน เนื่องจากเมืองกาญจน์มีคนไร้บ้านเยอะ เราใช้สื่อเข้ามาช่วย ปัญหาหลักของคนไร้บ้านนอกจากปัญหาเรื่องสิทธิเสรีภาพ ปัญหาเรื่องการตีตราของคนในสังคม เป็นเรื่องสำคัญ มองว่าคนไร้บ้านคือขี้ลัก ขี้ขโมย ขี้เกียจ ขี้ยา ต่างๆ สังคมจะมองคนไร้บ้านแย่มาก และไม่อยากให้มีคนไร้บ้านในพื้นที่ เราก็ต้องยอมรับว่าคนไร้บ้านมีทุกเมือง แต่เราจะทำอย่างไรให้คนไร้บ้านอยู่ในสังคมได้ มีสิทธิเสรีภาพเข้าถึงการรักษาได้ คนไร้บ้านส่วนใหญ่ไม่มีบัตรประชาชน เพราะบัตรหาย เพราะนอนในที่สาธารณะ
ผมไปจัดรายการ เอาคนไร้บ้านไปออกรายการด้วย ตอนนี้เขาก็ลุกขึ้นมาสื่อสารได้แล้วว่าเขามีปัญหาอะไร ทำให้ลดปัญหาการตีตรา เพราะคนไร้บ้านมีทั้งคนดี และคนไม่ดี และ ตอนนี้ปัญหาคนไร้บ้านที่กาญจบุรีก็ได้รับการแก้ไขมากขึ้น มีการฝึกอบรมอาชีพ เกิดการจ้างงาน จากเดิมมีคนไร้บ้านในเมืองกาญจน์ ประมาณ 50 คน ตอนนี้เหลืออยู่ 17 คน สื่อก็มีส่วนช่วยเปิดมุมมอง ลดความเกลียดชังลงได้

ส่งเสริมวิทยุชุมชน-ปชช.ได้ประโยชน์
บทเรียนที่น่าสนใจเรื่องสื่อชุมชนคือ ประชาชนได้ลุกขึ้นมาทำสื่อกับมือ จากที่ต้องฝากให้คนอื่นทำให้ คำถามคือ เราพร้อมหรือยัง เราดีพอหรือยังที่จะเป็นคนลุกขึ้นมาสื่อสารเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริง สองคือการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี วันนี้หลายคนที่อยู่ในสื่อชุมชนข้ามมาใช้สื่อโซเชียลมีเดีย แต่หลายคนยอมรับกันว่าเราเองก็เป็นช่องทางในการปล่อย fake news เพราะหลายคนก็ไม่รู้จะเช็คจะชัวร์อย่างไร หรือบางทีก็ใช้ทัศนะของตัวเอง และเรื่องสุดท้าย เรื่องของระเบียบ กฎหมาย นโยบาย ก็เปิดมากขึ้น แต่ผมคิดว่ายังไม่พอ การกำกับ การดูแล การส่งเสริม จะทำอย่างไรให้ถึงประชาชนจริงๆ สื่อชุมชนเข้าถึงการสนับสนุนได้ยากมาก ผมคิดว่าถ้าเราจะใช้สื่อชุมชนในการเปลี่ยนแปลงสังคม เราจะต้องให้โอกาสและพัฒนาตัวเขาจริงๆ สื่อชุมชนจะมีคุณูปการมาก เพราะปัจจุบัน ถึงวิทยุชุมชนจะเหลือประมาณ 4,000 แห่ง จาก 7,000 แห่ง แต่ก็ยังถือว่าเยอะและยังมีประโยชน์มาก เพราะเป็นสื่อชุมชนที่เข้าถึงประชาชนจริงๆ เนื้อหาบางอย่างก็สามารถคุยกับชุมชนได้โดยตรง ฉะนั้น ถ้าเรามองว่าวิทยุชุมชน สื่อชุมชน มีประโยชน์ เราอาจจะต้องมาวางน้ำหนัก และวางการสนับสนุนที่เข้าถึงจริงๆ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี
วันนี้ทุกคนก็เป็นสื่อได้ มีโทรศัพท์ในมือก็เป็นสื่อได้แล้ว ปัจจัยสำคัญคือเรารู้เท่าทันกับเรื่องราวที่เราสื่อสารแค่ไหน ผมคิดว่าเรื่องใหญ่ ตัวประชาชนเองก็กลัวว่าจะตกประเด็น จะช้ากว่าคนอื่น ซึ่งน่าเป็นห่วง ตัวที่จะทำให้เรารู้เท่าทันสื่อมีความจำเป็นมาก เดี๋ยวนี้ ข่าวกระแสหลักก็ทำข่าวจากสื่อโซเชียลของประชาชน ฉะนั้น ตัวสื่อภาคประชาชน หรือประชาชนที่ทำสื่อก็มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงในสังคม สุดท้าย คือ สื่อระดับองค์กร อยากฝากถึงกองทุนสื่อฯ ด้วย เราอยากเห็นกลไกการสนับสนุนให้สื่อภาคประชาชนได้ทำงานต่อ มีกลไก มีเครือข่าย ร่วมกันขับเคลื่อนงานกันต่อ ไม่ใช่แค่จัดอีเว้นเวทีแล้วหายไป แต่มีการพัฒนาต่อเนื่อง
ผจก.กองทุนสื่อฯ แนะแสวงหาเครือข่ายทลายข้อจำกัด
ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ข้อหนึ่งของกองทุนสื่อฯ มาตรา 5 เขียนไว้ชัดเลยว่า ต้องส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างกว้างขวาง หมายความว่าการทำงานขับเคลื่อนสังคมผ่านกระบวนการสื่อเป็นงานที่ยาก คุณจะเป็นพระเอกคนเดียวไม่มีทางเลย คุณจะทำหน่วยงานเดียวก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น ภารกิจนี้ คุณแค่เป็นเจ้าภาพ หรือเป็นจุดตั้งต้นแล้วไปแสวงหาความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ
ความร่วมมือคือทำ 2 อย่างไปพร้อมๆ กัน ประการแรกคือ ทุกคนรู้ดีว่าสื่อมีผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบ โดยเฉพาะทัศนคติ ค่านิยม มุมมองทางวัฒนธรรม วิถีชีวิต การรับสื่อแย่ๆ บ่อยๆ ซ้ำๆ เผลอๆ เราจะไปเชื่อตามด้วย ใครเรียนสื่อสารมวลชนวันนี้หนีเข้าป่าเลย เพราะอธิบายไม่ได้ว่ารายการข่าวตอนเช้าที่ขยี้แล้วขยี้อีก ใส่ความเห็น ใส่อารมณ์ความรู้สึก ดรามา ตกลงนี่คือข่าวหรือเป็นดรามาในการสร้างความบันเทิง อะไรคือ fact อะไรคือความเห็น แยกแยะไม่ออก เราก็ต้องการมีเครือข่ายมาบอกกับสังคมว่าเรื่องสื่อมีความอันตราย มีโทษมหันต์ มีคุณอนันต์ เวลาเปิดรับสื่อต้องรู้ทัน
อีกประการหนึ่งคือ โลกปัจจุบันที่ทุกคนเป็นสื่อ พื้นที่ที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีงาม เรื่องราวดีๆ ที่จะเกิดขึ้นในสังคม มีจำนวนมากมายมหาศาล คุณลงมือทำเถอะ คอนเทนต์ที่ทำให้ตัวเองมีความสุข คนอื่นมีความสุข ทำให้สังคมขับเคลื่อนไปได้ คนรักกัน หรือทำให้คนเห็นปัญหาในสังคม แล้วช่วยกันแก้ปัญหา นี่คือสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ทั้งนั้น
“กองทุนสื่อฯ อาจจะเป็นกองทุนเล็กๆ กองทุนหนึ่ง แต่ขอให้ทุกท่านมั่นใจว่ากองทุนสื่อฯ จะเป็นกลไกหนึ่ง เป็นเครื่องมือหนึ่ง เป็นพื้นที่หนึ่งที่ทุกคนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้ ให้คิดว่าเป็นของพวกเราทุกคน”