ก้าวข้ามดราม่า ! เดินหน้าปรับปรุง พรบ.กองทุนสื่อฯ รับระบบนิเวศน์ใหม่

การเมืองระบอบประชาธิปไตย ความจริงแล้วเป็นระบบการเมืองที่ถูกออกแบบมาเพื่อจัดการ จัดสรรทรัพยากรในสังคมที่กลุ่มคนมีความแตกต่างหลากหลาย หรือที่ภาษาวิชาการเรียก Interest Group  ดังนั้นภายใต้ระบบการเมืองแบบนี้ความเห็นต่าง ความขัดแย้งจึงเป็นเรื่องธรรมดา ปัญหาอยู่ที่เมื่อมีความขัดแย้งแล้วระบบการเมืองจะจัดการความขัดแย้งให้คลี่คลายอย่างปกติสุขอย่างไร

“สภารับทราบงานกองทุนสื่อฯ ปี 65 สส. ก้าวไกลติงกรรมการกองทุนมีตัวแทนรัฐมากเกินไป แนะขยายการเข้าถึงทุนให้ประชาชนทุกกลุ่มมากขึ้น” – the standard

“รักชนก ส.ส.ก้าวไกล อัด ‘กองทุนพัฒนาสื่อฯ’ ให้งบ ‘สื่อดัง’ อวยเผด็จการ” – มติชน ออนไลน์

“กนก” ซัดแรง “ไอซ์ รักชนก” ใช้เวทีสภาฯแขวะ “Top News” จับผิดรายการ” กนกยกสยาม” – Top News Online

 “ที่ประชุมสว.ถกงบฯกองทุนสื่อสร้างสรรค์ “ครูหยุย” ชื่นชม “ลายกนก ยกสยาม” สะท้อนวัฒนธรรมไทย สนับสนุนเต็มที่ ผลิตสารคดี เผยแพร่ต่อเนื่อง” – Top News Online

ตัวอย่างพาดหัวข่าวกรณีประเด็นดราม่า ความเห็นต่างต่อบทบาทหน้าที่ของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่มีการรายงานผลดำเนินงานประจำปีต่อสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ก็ไม่ต่างกัน คือ ความเห็นต่างต้องถือเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็เพราะสถานการณ์นี้ดันมาเกิดในช่วงที่การเมืองอยู่ในจังหวะ“ได้-เสีย”  การปั่นกระแสสร้างอารมณ์ร่วมเลยเกิดขึ้น

 

“สภาล่าง” อภิปราย “พัฒนาสื่อหรือควบคุมสื่อ”

10 สิงหาคม 2566 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีวาระพิจารณารายงานประจำปี 2565 ของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ซึ่งในภาพรวมมี ส.ส.อภิปรายหลักๆของสองพรรค คือ ส.ส.จากพรรคก้าวไกล อาทิ เอกราช อุดมอำนวย, อภิสิทธิ์ ไล่ศัตรูไกล, ธัญธร ธนินวัฒนาธร, รักชนก ศรีนอก ,สิริลภัส กองตระการ,จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ และ ส.ส.จากพรรคเพื่อไทย อาทิ ศรัณย์ ทิมสุวรรณ ,เทิดชาติ ชัยพงษ์,อดิศร เพียงเกษ

รักชนก ศรีนอก ส.ส.กทม.พรรคก้าวไกล

โทนเนื้อหาการอภิปรายของ ส.ส.ที่เป็นประเด็นร่วมทั้ง 2 พรรค คือ เรื่องตัวชี้วัดโครงการที่ได้รับทุน การเข้าถึงเนื้อหาสื่อที่ผลิตของประชาชน แต่ที่เป็นประเด็นปรากฏตามสื่อกระแสหลักและโซเชียล คือ ประเด็นข้อสังเกตและเสนอแนะจาก ส.ส.พรรคก้าวไกล ซึ่งสอดคล้องกับจุดยืนของพรรค คือ การวิจารณ์องค์ประกอบโครงสร้างบอร์ดบริหารที่มาจากภาครัฐและส่วนราชการว่าเป็นต้นตอของปัญหาความเป็นอิสระ  การวิจารณ์เนื้อหาสื่อที่ผลิตในบางโครงการเป็นไปเพื่อสนับสนุนรัฐบาล 

“อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า แนวทางของกองทุนนี้ จัดตั้งขึ้นมาเพื่อพัฒนาสื่อหรือควบคุมสื่อกันแน่ เพราะโครงการที่เสนอมามีโอกาสจะถูกเลือกปฏิบัติ โดยเลือกสนับสนุนเฉพาะโครงการที่เอาไว้อวยรัฐบาล” วรรคทองของรักชนก ที่ถูกนำไปขยายผล 

 

“สภาสูง” ชื่นชม เดินมาถูกทางแล้ว

28 สิงหาคม 2566 ผู้บริหารกองทุนสื่อฯเข้ารายงานผลดำเนินงานตามรายงานประจำปี 2565 ต่อที่ประชุมวุฒิสภา ซึ่งก็มีวุฒิสมาชิกหลายคน ลุกขึ้นอภิปราย อาทิ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, วัลลภ ตังคณานุรักษ์, ฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์, พล.อ.ต.เฉลิมชัย เครืองาม มาถูกทางแล้ว รายงานกับสภา  ,นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ  ,พลโทจเรศักณิ์ อานุภาพ  และเกียว แก้วสุทอ 

พล.อ.ต.เฉลิมชัย เครืองาม

ภาพรวมโทนเนื้อหาการอภิปราย ที่เป็นประเด็นร่วมกัน คือ การเข้าถึงของประชาชน ความหลากหลายของผู้รับทุนและตัวชี้วัดโครงการที่ได้รับทุน แต่เนื้อหาที่ถูกขยายเป็นประเด็นดราม่าก็คือ เนื้อหาการอภิปรายของวุฒิสมาชิกหลายคนยืนยันความถูกต้องชอบธรรมของ พรบ.กองทุนสื่อ ทั้งในเรื่องของโครงสร้างบอร์ดบริหารและภารกิจตามมาตรา 3  ที่ระบุว่า “สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” หมายความว่า สื่อที่มีเนื้อหาส่งเสริมศีลธรรม จริยธรรมวัฒนธรรมและความมั่นคง ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้ทักษะการใช้ชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน และส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวและสังคม รวมถึงการส่งเสริมให้ประชาชนมีความสามัคคีและสามารถใช้ชีวิตในสังคมที่มีความหลากหลายได้อย่างเป็นสุข”

“ผมสนับสนุนให้สร้างสื่อดี สู้สื่อเลว” – วัลลภ ตังคณานุรักษ์

“สิ่งที่ท่าน (กองทุนสื่อฯ)ทำ เดินมาถูกทางแล้ว”- พล.อ.ต.เฉลิมชัย เครืองาม

 

เริ่มตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ พรบ.กองทุนสื่อฯ

ถ้ามองทะลุพ้นจากประเด็นดราม่า มุ่งเป้าลงไปในเชิงสาระ ปรากฏการณ์นี้จะพบว่ามีข้อเท็จจริงอยู่หลายประการ ที่น่าจะเป็นประโยชน์กับการขับเคลื่อนองค์กรนี้อยู่ไม่น้อย

ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

ประเด็นที่น่าสนใจคือ การชี้แจงของธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนฯ ว่า ในปี 2566 นี้ได้เริ่มกระบวนการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย จุดอ่อน จุดแข็งของกองทุนเพื่อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อรัฐบาล 

“พวกเราพร้อมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะแบบเปิดกว้างจากทุกฝ่ายเพื่อนำมาปรับปรุงการทำงานของกองทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวย้ำในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา

ประเมินว่า ในฐานะฝ่ายปฏิบัติงาน ย่อมเห็นปัญหาโดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของแวดวงสื่อ ระบบนิเวศน์สื่อ สภาพเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและเป็นพลวัตร การออกแบบโครงสร้างของเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ย่อมมีบางจุดที่ต้องปรับเปลี่ยน

ท่ามกลางความท้าทายจากสภาพความเปลี่ยนแปลงเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ก็ถือเป็นโอกาสของกองทุนสื่อเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นกรณีความตื่นตัวในการใช้สื่อเพื่อสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือ Soft Power การทำงานร่วมกับองค์กรวิชาชีพสื่อที่จะยกระดับการทำงานของสื่ออย่างมีจรรยาบรรณและความรับผิดชอบ รวมถึงการรับมือกับแก๊งส์มิจฉาชีพในโลกออนไลน์ หรือภัยไซเบอร์ที่กำลังระบาดอย่างหนัก เหล่านี้ กองทุนจะแสดงบทบาทหลักในการรับมือสื่อร้าย ขยายสื่อดี ได้ไม่ยาก

การวางกลไก โครงสร้างองค์กร เป้าหมายยุทธศาสตร์ อันที่จริงเป็นสิ่งจำเป็น วันนี้ด้วยหากอยู่ในสถานะที่เป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้าน อาจมองโครงสร้างปัจจุบันว่าเป็นไปเพื่อเอื้ออำนาจรัฐ แต่โดยข้อเท็จจริง  ในอนาคตเมื่อได้เป็นรัฐบาลบ้าง การจะขับเคลื่อนนโยบายเพื่อเปลี่ยนแปลงอะไรก็แล้วแต่ ถึงที่สุดก็จำเป็นต้องขับเคลื่อนผ่านโครงสร้างที่วางไว้ชัดๆ 

ตอนนี้หลายประเทศ รวมทั้งไทยเราเองก็กำลังศึกษาเรียนรู้บทบาทการทำงานของ KOCCA ( Korea Creative Content Agency) ซึ่งประสบความสำเร็จในการส่งออกวัฒนธรรม K-pop  ทั้งหนัง ซีรีส์ และดนตรี ไปทั่วโลก หรืออย่างไต้หวันซึ่ง Copy โมเดลของ KOCCA ไปตั้ง TAICCA (Taiwan Creative Content Agency) ส่งออก Soft Power เริ่มจากหนังสือการ์ตูนสไตล์ไต้หวันเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และอนาคตก็น่าจะพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมหนัง ซีรีส์ แอนิเมชัน ส่วนประเทศไทยจะมี THACCA (Thailand Creative Content Agency) บ้างได้หรือไม่ เลือกหยิบข้อดีข้อเด่นอย่างไรมาปรับประยุกต์ใช้กับต้นทุนที่ประเทศมีอยู่แล้ว อันนี้น่าจะเป็นเรื่องสร้างสรรค์ 

 

ยุคที่สังคมไทยอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านหลายต่อหลายมิติ การปะทะของกระแสเก่าและใหม่ จะสั่งสมประสบการณ์ให้สังคมไทยกันอีกหลายด้าน กว่าที่จะคลี่คลายไปสู่ความสมดุล ดังนั้นหากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถก้าวข้ามดราม่าแห่งมายาคติทางการเมืองไปสู่การกำหนดนโยบายและแนวทางการทำงานที่ชัดเจน ภารกิจอะไรของประเทศที่ต้องเดินหน้า ภาคประชาชน ประชาสังคมก็ต้องขยับ ผลักดัน ขับเคลื่อนไปกับฝ่ายการเมือง ช่วยกันเดินหน้า ให้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ร่วมของประเทศ