ขยะวนไป
ในชีวิตคนกรุง

ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เกิดขยะมูลฝอยเพิ่มขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะขยะพลาสติกที่เกิดการใช้บริการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ ในขณะที่รัฐบาลได้ประกาศโรดแม็ปการจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 – 2573 โดยกำหนดยกเลิกการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง 4 ชนิด ภายในปี 2565 เพื่อใช้วัสดุทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ 1) ถุงพลาสติกหูหิ้วแบบบาง ความหนาน้อยกว่า 36 ไมครอน 2) กล่องโฟมบรรจุอาหาร 3) แก้วพลาสติก ความหนาน้อยกว่า 100 ไมครอน 4) หลอดพลาสติก

 

รวมทั้งส่งเสริมให้มีการนำขยะพลาสติกกลับมารีไซเคิล ได้แก่ ถุงพลาสติกหูหิ้ว บรรจุภัณฑ์ฟิล์มพลาสติกชั้นเดียว ขวดพลาสติก (ทุกชนิด) ฝาขวด แก้วพลาสติก ถาด/กล่องอาหาร ช้อน/ส้อม/มีด เพื่อให้เกิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งจากข้อมูลพบว่า กรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นจังหวัดที่สร้างขยะมูลฝอยมากที่สุดจำนวน 8,914.39 ตัน/วัน และ 2,986,319.54 ตันต่อปี

 

ช่วงสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงเดือนเมษายน 2564 กทม.มีสัดส่วนขยะพลาสติกร้อยละ 28.32 หรือคิดเป็นปริมาณ 2,515.37 ตัน/วัน เพิ่มขึ้นจากเดือน มี.ค. 2564 ที่มีสัดส่วนขยะพลาสติกร้อยละ 20.71 หรือคิดเป็นปริมาณ 1,867 ตัน/วัน โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.61

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบปริมาณขยะกับงบประมาณการกำจัดขยะกลับไม่ไปในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ มีรายได้จากค่าขยะเพียงประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี ขณะที่งบฯ การกำจัดอยู่ที่ประมาณ 7,000 ล้านบาทต่อปี ดังนั้น กทม.จึงเตรียมเพิ่มอัตราค่าเก็บขยะใหม่เป็น 80 บาท/เดือน/ครัวเรือน ซึ่งจะได้งบฯ มาจัดการขยะเพิ่มประมาณ 2,000 ล้านบาท

 

นอกจากเรื่องงบฯ แล้ว กทม.จะต้องเร่งดำเนินนโยบายไม่เทรวมเพื่อให้มีการคัดแยกขยะและนำไปรีไซเคิลขยะพลาสติกให้มากขึ้น ตลอดจนการนำขยะอินทรีย์ไปทำปุ๋ยหมักซึ่งจะช่วยประหยัดงบฯ จ้างกำจัดขยะลงได้อีกมาก