วิกฤตยูเครน – สงครามข้อมูลข่าวสาร ชุดความจริงที่ต้องแยกแยะและชั่งน้ำหนัก

สงครามในยูเครนทำให้เกิดความขัดแย้งด้านทัศนะทางการเมืองของพลเมืองโลกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกเรามีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย กล่าวคือความขัดแย้งจากฝ่ายที่เป็นคู่กรณี (รัสเซีย-ยูเครนและชาติตะวันตก) และความขัดแย้งระหว่างฝ่ายเห็นใจและหรือสนับสนุน  (รัสเซีย-ยูเครนและชาติตะวันตก)

ความแตกแยกแบบขั้วตรงข้าม ทำให้ Narrative (วิธีการบอกเล่าเรื่องราว) ของความขัดแย้งในยูเครนแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ยังไม่นับความพยายามของบางประเทศที่จะวางตัวเป็นกลาง ซึ่งหากประเทศนั้นสามารถควบคุมสื่อหรือทัศนะของประชาชนได้ ก็ถือเป็นอีกกรณีต่างหาก ความหลากหลายของ Narrative ในการเล่าเรื่องสงครามในยูเครน จึงเป็นสิ่งที่น่าทึ่ง และเป็นเรื่องท้าทายมากในการอธิบายปรากฏการณ์นี้

การเสพข่าวความขัดแย้งของสงครามจากสื่อในแต่ละขั้ว จึงต้องรู้จักแยกแยะและชั่งน้ำหนัก เพื่อทำความเข้าใจปรากฎการณ์ของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรอบด้าน ไม่ให้เราหลงเข้าใจผิดไปตามทิศทางการนำเสนอของสื่อซึ่งถูกแทรกแซงและควบคุม (รวมทั้งมีการนำข่าวสารเหล่านั้นมาปั่นกระแสให้เกิดการเลือกข้างอีกด้วย)

กรณีศึกษาสื่อรัสเซีย

เสรีภาพของสื่อในรัสเซียถูกจำกัดอย่างเข้มงวด และสื่อของรัฐรัสเซียนำเสนอมุมมองอย่างเป็นทางการของรัฐบาลรัสเซีย โดยเฉพาะสื่อที่ควบคุมโดยรัฐ เช่น Russia-24, Russia-1, และ Channel One ส่วนใหญ่เป็นไปตาม Narrative ของรัฐบาลรัสเซียเกี่ยวกับสงคราม ซึ่งมีแนวโน้มที่จะให้ภาพในด้านบวกของประเทศรัสเซียและลดทอนความเสียหายของฝ่ายรัสเซียในการรุกรานยูเครน นอกจากนี้หน่วยงานกำกับดูแลขู่ว่าจะบล็อกการเข้าถึงวิกิพีเดียภาษารัสเซียในรัสเซีย และปรับวิกิพีเดียเป็นเงินสูงถึงสี่ล้านรูเบิล (50,000 ดอลลาร์สหรัฐ) ฐานเผยแพร่บทความเกี่ยวกับการบุกรุกยูเครน ซึ่งสะท้อนถึงการบาดเจ็บล้มตายในหมู่พลเรือนยูเครนและบุคลากรทางทหารของรัสเซีย โดยเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2565 หน่วยงานกำกับดูแลขู่ว่า จะบล็อกการเข้าถึงวิกิพีเดียภาษารัสเซียเกี่ยวกับบทความ “Вторжение России на Украину (2022)” (“รัสเซียบุกยูเครน (2022)”) โดยอ้างว่าบทความนี้มี “ข้อมูลที่เผยแพร่อย่างผิดกฎหมาย” รวมถึง “รายงาน” เกี่ยวกับการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากในหมู่เจ้าหน้าที่บริการของสหพันธรัฐรัสเซียและประชากรพลเรือนของยูเครนรวมถึงเด็ก ๆ” (1) (2)

แต่ก็ยังมีชาวรัสเซียที่พยายามแหกกำแพงเหล็กของการปิดกั้นสื่อ เช่น เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2565 Marina Ovsyannikova บรรณาธิการของ Channel One ขัดจังหวะการถ่ายทอดสดเพื่อประท้วงการรุกรานยูเครนของรัสเซีย โดยถือโปสเตอร์ที่เขียนเป็นภาษารัสเซียและภาษาอังกฤษว่า “หยุดสงคราม อย่าเชื่อโฆษณาชวนเชื่อ, ที่นี่คุณกำลังถูกหลอก” แต่ผลของการต่อต้านเรื่องเล่าของทางการรัสเซียก็คือ Ovsyannikova ถูกจับและถูกนำตัวไปที่สถานีตำรวจมอสโก สำนักข่าว Tass กล่าวว่า เธออาจถูกตั้งข้อหาภายใต้กฎหมายว่าด้วยการทำให้กองทัพเสื่อมเสียชื่อเสียง โดยกฎหมายดังกล่าวผ่านสภาเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ฉะนั้นการเผยแพร่ข่าวออกสู่สาธารณะโดยมุ่งเป้าไปที่การทำลายชื่อเสียงของกองทัพรัสเซียจึงเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และห้ามการแพร่กระจาย “ข่าวปลอม” หรือ “การเผยแพร่ข้อมูลเท็จโดยจงใจเกี่ยวกับการใช้กองกำลังของสหพันธรัฐรัสเซียในที่สาธารณะ” (3) ซึ่งข่าวปลอมในที่นี้อาจจะไม่ใช่ข่าวปลอม แต่เป็นข้อมูลที่เป็นอันตรายต่อสถานะของรัฐบาลและกองทัพรัสเซีย เช่น การเปิดเผยยอดทหารที่เสียชีวิตเป็นจำนวนมากกว่าตัวเลขที่ทางการระบุ

อีกตัวอย่างก็คือ ทางการรัสเซียปิดกั้นการเข้าถึง Echo of Moscow และ Dozhd (TV Rain) สถานีโทรทัศน์อิสระแห่งสุดท้ายของรัสเซีย โดยอ้างว่าพวกเขาเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับกองทัพรัสเซียและเรียกร้องให้ใช้ความรุนแรง (4) Novaya Gazeta หนังสือพิมพ์อิสระวิจารณ์รัฐบาลรัสเซียต้องระงับการพิมพ์ หลังได้รับคำเตือนจาก Roskomnadzor ซึ่งทำการสืบสวนสื่ออิสระของรัสเซียหลายแห่ง ฐานเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสงครามหรือการบาดเจ็บล้มตายของพลเรือน ซึ่ง Roskomnadzor เป็นหน่วยงานบริหารของรัฐบาลกลางรัสเซียที่รับผิดชอบในการตรวจสอบ ควบคุม และเซ็นเซอร์สื่อมวลชนของรัสเซีย พื้นที่รับผิดชอบ ได้แก่ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ การสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม กำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎหมาย การปกป้องความลับของข้อมูลส่วนบุคคลที่กำลังดำเนินการ และการจัดระเบียบงานบริการคลื่นความถี่วิทยุ

กรณีศึกษายูเครนและสื่อตะวันตก

กรณีของยูเครนและชาติตะวันตกที่สนับสนุนยูเครน ไม่มีพฤติกรรมเรื่องการเซนเซอร์สื่อที่ชัดเจนเหมือนกับรัสเซีย แต่ก็หนีไม่พ้นการถูกกล่าวหาด้วยเช่นเดียวกับรัสเซีย นั่นก็คือ สื่อยูเครนและชาติตะวันตกล้วนถูกกล่าวหาว่าโฆษณาชวนเชื่อ และก่อสงครามข้อมูลในระดับต่าง ๆ

 

โดยทั่วไปแล้ว สื่อยูเครนและชาติตะวันตกกำหนดสถานะตัวเองว่า มีความเป็นกลางมากกว่ารัสเซีย นอกจากจะพยายามชี้ให้เห็นว่าสื่อรัสเซียถูกควบคุมโดยรัฐแล้ว ยังชี้ให้เห็นว่า Narrative ของฝ่ายรัสเซียเป็นเรื่องเท็จ (ในขณะที่รัสเซียชี้ว่าการรายงานของชาติตะวันตกและยูเครนคือเรื่องเท็จและลงโทษสื่อในรัสเซียที่รายงานข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม) ตัวอย่างที่ชัดเจนมาจากช่วงก่อนการรุกรานยูเครนอย่างเต็มรูปแบบในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 เช่น ในช่วงที่รัสเซียเริ่มเคลื่อนไหวรุกรานยูเครนครั้งแรก ๆ ในปี 2557 BBC รายงานว่าสถานีโทรทัศน์ของรัฐรัสเซีย “ดูเหมือนจะใช้เทคนิคการปรับสภาพจิตใจที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นอารมณ์ที่รุนแรงของการรุกรานและความเกลียดชังในตัวผู้ชม” (5) สอดคล้องกับตามรายงานของ The Guardian สื่ออังกฤษเช่นกันที่ระบุในช่วงเวลาเดียวกันว่า การกระทำของสื่อรัสเซียในรูปแบบนั้นเป็นส่วนหนึ่งของ “ปฏิบัติการสงครามข้อมูล-จิตวิทยา” ที่ทำงานประสานกัน (6) ท่าทีของสื่ออังกฤษนี้คือการให้ภาพว่ารัสเซียทำสงครามจิตวิทยาและการโฆษณาชวนเชื่อ และผลก็คือข้อมูลของรัสเซียไม่น่าไว้วางใจ 

เนื่องจากภาษายูเครนและรัสเซียมีความคล้ายคลึงกันมาก อีกทั้งภาคตะวันออกของยูเครนยังมีผู้พูดภาษารัสเซียเป็นจำนวนมาก (ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้รัสเซียอ้างเหตุผลรุกรานยูเครนเพื่อทำการปกป้องคนพูดภาษารัสเซียเหล่านี้) ดังนั้นสื่อภาษารัสเซียจึงเป็นแหล่งข้อมูลของชาวยูเครนด้วย ทว่า ข้อมูลภาษารัสเซียกลายเป็นแหล่งของการโฆษณาชวนเชื่อไป กระนั้นก็ตามก่อนการรุกรานเต็มรูปแบบไม่นาน คนยูเครนเริ่มสลัดตัวจากสื่อแบบเดิม ๆ เช่น ทีวีที่ถูกครอบงำโดยสื่อของรัสเซียได้ง่าย จากโพลของ Research & Branding Group ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 (ราว 1 ปี ก่อนการรุกรานเต็มรูปแบบ) พบว่า เป็นครั้งแรกที่ชาวยูเครนนิยมอินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งข่าวหลักแทนโทรทัศน์ โดย 51% ชอบใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่า และ 41% ชอบทีวี (7) แต่ตัวเลขผู้ชอบอย่างแรกอาจจะมากขึ้นหลังการรุกรานในปี 2565 โดยเฉพาะหลังการรุกราน ประธานาธิบดียูเครน Volodymyr Zelenskyy ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อโพสต์ข้อความ วิดีโอ และภาพถ่ายเพื่อตอบโต้การบิดเบือนข้อมูลของรัสเซียเกี่ยวกับตัวเขา ระหว่างการรุกรานยูเครนของรัสเซียในปี 2565

 

ภาพที่ตัดกันระหว่างการให้ภาพสงครามของรัสเซียกับยูเครนและชาติตะวันตก จะเห็นได้ชัดจากคำกล่าวของนักประวัติศาสตร์ Timothy D. Snyder ที่กล่าวว่า “ตอนนี้ยูเครนเป็นที่ตั้งของสื่อเสรีที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดในภาษารัสเซีย เนื่องจากสื่อที่สำคัญทั้งหมดในยูเครนปรากฏในภาษารัสเซีย และเนื่องจากเสรีภาพในการพูดมีอยู่ทั่วไป ความคิดของปูตินเรื่อง การปกป้องผู้พูดภาษารัสเซียในยูเครนนั้นไร้สาระในหลายระดับ แต่หนึ่งในนั้นคือ ผู้คนสามารถพูดสิ่งที่พวกเขาชอบในภาษารัสเซียในยูเครน แต่พวกเขาไม่สามารถทำได้ในรัสเซียเอง” (8)

 

กระนั้นก็ตาม สื่อยูเครนก็ไม่ได้รายงานเป็นกลาง Joseph L. Black ศาสตราจารย์ด้านการวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยคาร์ลตัน ระบุว่า สื่อยูเครนใช้ภาษาที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ต่อพวกกบฏแบ่งแยกดินแดนที่ได้รับการหนุนหลังจากรัสเซีย โดยเรียกคนเหล่านี้ว่าเป็น “แมลงศัตรูพืช” และเรียกร้องให้ “กำจัดพวกมันที่เป็นสัตว์ร้าย” ในทัศนะของ Joseph L. Black ข่าวประชาสัมพันธ์และเว็บไซต์ทางการของรัสเซียนั้นในแง่ภาษาแล้วไม่ได้ก้าวร้าวเท่ากับสื่อยูเครน (9) เช่นเดียวกับ Mikhail A. Molchanov ศาสตราจารย์และอดีตหัวหน้าภาควิชารัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเซนต์โธมัส กล่าวว่า สื่อของยูเครนวาดภาพรัสเซียอย่างสม่ำเสมอว่าเป็น “พวกอื่น” ไม่ใช่ชาวยุโรปเหมือนยูเครนและชาติตะวันตก แต่เป็นพวกเอเชีย (10) การใช้ Narrative ที่สร้างความเป็นอื่นนี้เป็นอันตรายในแง่สังคมศาสตร์ เพราะตอกย้ำการเหยียดเชื้อชาติและลดทอนความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่าย ทำให้ยูเครนตกอยู่ในวังวนของสงครามข้อมูลข่าวสารและการโฆษณาชวนเชื่อที่ไร้ความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับที่พวกเขากล่าวหารัสเซีย

กรณีศึกษาสื่อจีน

จีนเป็นกรณีพิเศษที่น่าสนใจ โดยจีนปฏิเสธที่จะประณามการรุกรานยูเครนของรัสเซีย และงดออกเสียงหรือเข้าข้างรัสเซียในการโหวตของสหประชาชาติในสงครามในยูเครน อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดียูเครน Volodymyr Zelenskyy กล่าวว่า เขาพอใจกับนโยบายความเป็นกลาง โดยระบุว่า “จีนได้เลือกนโยบายที่จะอยู่ห่าง ๆ แล้ว ณ ตอนนี้ ยูเครนพอใจกับนโยบายนี้แล้ว ก็ยังดีกว่าช่วยสหพันธรัฐรัสเซีย และผมอยากจะเชื่อว่าจีนจะไม่ดำเนินนโยบายอื่น เราพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่นี้แล้ว พูดตามตรง” (11)

 

เช่นเดียวกับรัสเซีย สื่อของจีนถูกควบคุมโดยรัฐ แต่ที่ต่างจากรัสเซียคือ การควบคุมโดยรัฐเป็นไปตามกลไกรัฐ ไม่ใช่การแทรกแซงตามอำเภอใจ ดังนั้นรัฐจึงอาจกำหนดทิศทางการรายงานข่าวให้สื่อต่าง ๆ เอาไว้แล้ว เช่น สื่อหลายแห่งโดยเฉพาะในโลกตะวันตกเชื่อว่าสื่อจีนดำเนินการรายงานแบบคัดเลือก เช่น Deutsche Welle และ CNN ตั้งคำถามเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงคำพูดบางคำ เช่น “การบุกรุก” และ “การโจมตี” และอคติเอนเอียงต่อข้อมูลจากทางการรัสเซีย ตลอดจนการส่งเสริมการต่อต้านสหรัฐฯ ภายในประเทศจีน

 

ด้าน The Wall Street Journal เชื่อว่าสื่อต่าง ๆ ของรัฐบาลจีนใช้ความยับยั้งชั่งใจในการรายงานข่าวความขัดแย้ง ซึ่งบ่งชี้ถึงท่าทีระมัดระวังของรัฐบาลจีน ส่วน Radio France Internationale เชื่อว่าแม้จีนจะไม่ประณามการรุกรานของรัสเซีย แต่ก็ไม่สนับสนุนให้พลเมืองของตนสนับสนุนชาวยูเครน และไม่สนับสนุนรัสเซียอย่างเปิดเผย

 

อย่างไรก็ตาม ชาวจีนจำนวนมากแสดงความเห็นสนับสนุนรัสเซีย โดยเข้าอกเข้าใจถึงความกังวลของรัสเซียต่อความมั่นคงของชาติ และเนื่องมาจากความสัมพันธ์รัสเซีย-ยูเครนที่เสื่อมโทรมอันเนื่องมาจากท่าทีของ NATO และชาติตะวันตก รวมถึงยกย่องประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ว่าเป็นวีรบุรุษที่กล้าท้าทายชาติตะวันตก

 

ในทางกลับกันก็มีกลุ่มบุคคลในจีนแผ่นดินใหญ่ที่ต่อต้านสงครามอยู่ด้วย เช่น บรรดาอาจารย์หลายคน และศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงของสถาบัน รวมทั้งมหาวิทยาลัยปักกิ่งและมหาวิทยาลัยชิงหัวได้แถลงการณ์ต่อต้านสงครามต่อสาธารณะ แต่ข้อความเหล่านี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากชาวเน็ตและถูกเซ็นเซอร์หรือลบบน

 

แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีนแผ่นดินใหญ่ เช่น เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2565 นักประวัติศาสตร์ชาวจีนห้าคนได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกคัดค้านการบุกรุก โดยระบุว่า “ภัยพิบัติครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์มักเริ่มต้นจากความขัดแย้งในท้องถิ่น” อย่างไรก็ตาม จดหมายถูกลบออกจากอินเทอร์เน็ตโดยการเซ็นเซอร์ของจีนหลังจากผ่านไปสามชั่วโมง (12)

 

โดยรวมแล้ว รัฐบาลจีนและคนจีนมีท่าทีไม่เอียงจนชัดเจน Joseph Torigian จากมหาวิทยาลัยอเมริกัน กล่าวถึงจุดยืนของรัฐบาลจีนเกี่ยวกับการรุกรานยูเครนว่าเป็น “การปรับสมดุล” โดยระบุว่า “ทั้งสองประเทศ (จีนกับรัสเซีย) มีมุมมองเชิงลบในทำนองเดียวกันเกี่ยวกับบทบาทของอเมริกาในยุโรปและเอเชีย” แต่จีนไม่เต็มใจที่จะให้ผลประโยชน์ทางการเงินเสี่ยงที่จะสนับสนุนรัสเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจีน “พยายามรักษาชื่อเสียงของตนในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีความรับผิดชอบ” (13)

 

ท่ามกลางความรุนแรงของสถานการณ์และสงครามข้อมูลข่าวสารระหว่างประเทศคู่ขัดแย้ง ตลอดจนบทบาทสื่อมวลชนที่ไม่มีเสรีภาพอย่างแท้จริง ดังนั้น “ข่าว” กับ “การโฆษณาชวนเชื่อ” จึงอาจแยกจากกันไม่ออก การบริโภคข่าวสงครามจึงต้องมีสติ ต้องติดตามข้อมูลที่หลากหลายและมีการชั่งน้ำหนัก ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เราเกิดอคติ และเข้าใจสถานการณ์ผิดไปจากข้อเท็จจริง   

อ้างอิง:

  1. Cole, Samantha (2 March 2022). “Russia Threatens to Block Wikipedia for Stating Facts About Its War Casualties, Editors Say”. Vice.
  2. “Moscow threatens to block Russian-language Wikipedia over invasion article”. National Post. 1 March 2022.
  3. “Russia-Ukraine war: Marina Ovsyannikova interrupts Russian show”. Al Jazeera. 15 March 2022.
  4. “Russia Blocks 2 Independent Media Sites Over War Coverage”. The Moscow Times. 1 March 2022.
  5. Ennis, Stephen (4 February 2015). “How Russian TV uses psychology over Ukraine”. BBC.
  6. Peter Pomerantsev (9 April 2015). “Inside the Kremlin’s hall of mirrors”. The Guardian.
  7. “In a first, internet bypasses TV as main news source for Ukrainia ns”. www.unian.info.
  8. Snyder, Timothy (16 April 2014). “Putin’s Project”. Frankfurter Allgemeine Zeitung.
  9. J. L. Black, Michael Johns (2016). The Return of the Cold War: Ukraine, The West and Russia. Routledge.
  10. Molchanov, Mikhail (5 May 2015). “Russia as Ukraine’s ‘Other’: Identity and Geopolitics”. E-International Relations.
  11. “Zelensky: Ukraine is fine with China’s position on war with Russia”
  12. “‘They were fooled by Putin’: Chinese historians speak out against Russian invasion”. The Guardian. February 28, 2022.
  13. Torigian, Joseph. “China’s balancing act on Russian invasion of Ukraine explained”. The Conversation.