วงเสวนา “ลับ ลวง หลอก…แก๊งคอลเซ็นเตอร์”เผยสถิติคดีลดลงแต่มูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้น

วันที่ 5 ตุลาคม 2566 รายการสื่ออาสาประชาชน จัดสื่ออาสาทอล์ค ครั้งที่ 3 ในหัวข้อ “ลับ ลวง หลอก…แก๊งคอลเซ็นเตอร์” สนับสนุนโดย กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยมีวิทยากรประกอบด้วย  ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวน อาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) นางสาว ประวีณมัย บ่ายคล้อย ผู้ประกาศข่าว ช่อง 3 และนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ดำเนินรายการโดย อรอุมา เกษตรพืชผล

 
คดีลดลงแต่มูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้น

พล.ต.ต.นิเวศน์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การแจ้งความกรณีหลอกลวงออนไลน์ว่า สถิติภาพรวมในช่วง 1 ปี 7 เดือน ที่ผ่านมา สถิติในการรับแจ้งคดีรายวันมีจำนวนลดลง ซึ่งเหมือนน่าจะดี แต่ถ้าดูในแง่มูลค่าความเสียหายไม่ได้ลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้น ตอนนี้คดีที่โดนหลอกกันเยอะและเสียหายกันเยอะมากในแต่ละวัน คือหลอกให้รักแล้วไปลงทุน ซึ่งความเสียหายแต่ละรายมูลค่าหลายล้านบาท และเรื่องของแอพพลิเคชั่นดูดเงินก็เป็นอีกภัยคุกคามหนึ่งที่เกิดขึ้นมา และมีการหลอกลวงในรูปแบบต่าง ๆ ให้น่าเชื่อถือ เช่นหลอกเป็นกรมที่ดิน หลอกเป็นกรมบัญชีกลาง หรือ กบข. บอกว่าเป็นผู้เกษียณอายุ ต้องอัพเดตข้อมูล และการอัพเดตนี้ก็กลายเป็นการติดตั้งแอพพลิเคชั่นดูดเงิน หรือล่าสุดที่เจอคือ อ้างตัวเป็นตำรวจไซเบอร์ จะให้ความช่วยเหลือ ให้ติดตั้งแอพพลิเคชั่น ซึ่งแอพนี้ก็คือแอพดูดเงิน ในช่วง 1 ปี 7 เดือน รับคดีไป สามแสนสามหมื่นหกพันกว่าคดี ความเสียหายอยู่ที่ สี่หมื่นห้าพันเจ็ดร้อยกว่าล้าน แต่ก็มีข่าวดีคือ จับหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ชื่อว่า ไฮบริดสแกม ได้สำเร็จ แล้วก็นำไปสู่การขอเฉลี่ยทรัพย์คืน วันนี้ผู้เสียหายมาขอเฉลี่ยทรัพย์คืนค่อนข้างเยอะมาก อย่างไรก็ตาม แม้จับหัวหน้าแก๊งที่อยู่เมืองไทย และยึดทรัพย์สินได้มูลค่าหลายพันล้านบาท แต่คนที่ปฏิบัติการอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านก็ยังทำอยู่

พล.ต.ต.นิเวศน์ แนะนำว่า หากโดนหลอกและมีเรื่องของการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล สิ่งแรกที่อยากให้ทำคือ ไปร้องเรียนกับคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่กระทรวง DES อาคาร B ศูนย์ราชการ เพราะจะมีอำนาจหน้าที่ไปตรวจสอบว่ามีการรั่วไหลของข้อมูลได้อย่างไร ซึ่งตรงนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการตรวจสอบ ว่าอาจจะเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ หรือเกิดจากการแชร์ข้อมูล

พล.ต.ต.นิเวศน์ กล่าว่า บัญชีม้าคือสารตั้งต้นในเรื่องของอาชญากรรมออนไลน์ ที่มันแก้ปัญหาไม่จบ เพราะเวลาที่เราไปแก้ปัญหาซิมผี บัญชีม้า แต่ละบัญชีที่ผู้เสียหายโดนหลอก ไม่ว่าจะเป็นธนาคารหรือค่ายมือถือ เค้าก็จะปิดเฉพาะเบอร์นั้น แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นความผิดในตัวมันเอง ใครที่เป็นเจ้าของซิมผีหรือบัญชีม้า ก็ถือว่ามีความผิด มีโทษจำคุก ไม่เกิน 3 ปี เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเค้ามีกี่บัญชี เค้าจะต้องถูกระงับยับยั้งทั้งหมด แต่ตอนนี้ มีการตีความ กฎหมายเขียนว่าให้ระงับธุรกรรมนั้น ๆ ไม่ได้บอกให้ปิดทุกบัญชีที่เป็นชื่อของคน ๆ นั้น แต่มีกฎหมายอีกตัวหนึ่งว่า คนที่ซื้อขายซิมผี บัญชีม้า มีโทษจำคุก ไม่เกิน 3 ปี ในเมื่อเราระบุแล้วว่าเขามีความผิด

พล.ต.ต.นิเวศน์ กล่าวว่า ต้องบูรณาการกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ปัญหาคือไม่สามารถส่งข้อความเตือนไปที่กลุ่มเป้าหมายหลักได้ตรงจุด ถ้าแยกกลุ่มเป้าหมายออกเป็นกลุ่ม ๆ จะแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น อย่างกลุ่มที่มีเงินในบัญชีหลักล้าน อยากให้ธนาคารเตือนลูกค้ากลุ่มนี้ เรื่องการหลอกลงทุน กลุ่มหลักแสน หลอกลงทุน หลอกให้ทำภารกิจ ถ้าต่ำกว่านั้นลงมาคือหลอกกู้เงิน อีกกลุ่มหนึ่งคือ ค่ายมือถือ ลูกค้ารายเดือน เตือนกลุ่มพวกนี้ ส่วนแอพที่มีคนใช้มากที่สุดตอนนี้คือ แอพเป๋าตัง ได้ทำ MOU แล้ว และเริ่มเตือนแล้ว ใครเปิดซิมผี บัญชีม้า จะติดคุก เพราะกลุ่มนี้เป็นคนรายได้น้อย ต้องพยายามเตือนให้ตรงเป้าหมายในแต่ละกลุ่ม

 
สายไหมต้องรอด เผยกระบวนการยุติธรรมล่าช้า

นายเอกภพ กล่าวว่า มีประชาชนร้องเรียนเข้ามาที่เพจทุกวัน บางวันก็หลักร้อย บางวันก็หลักสิบ ปัญหาที่เจอคือบางทีเกิดเรื่องขึ้นแล้ว การแจ้งความค่อนข้างยาก ไปแจ้งโรงพักท้องที่ ก็โยนให้ไปแจ้งออนไลน์ ไปแจ้งออนไลน์ ผ่านไปร่วมเดือนก็ยังไม่ได้ติดต่อให้ไปสอบปากคำเลย ก็ทำให้เหยื่อรู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะกระบวนการยุติธรรมค่อนข้างล่าช้า อยากให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วย

นายเอกภพ กล่าวว่า เน้นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้ว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีรูปแบบไหนบ้าง ก็พยายามศึกษาว่ามันเปลี่ยนไปยังไงบ้าง อย่างล่าสุด ความรวดเร็วของแก๊งคอลเซ็นเตอร์คือ จะรู้ทันว่าคนพอโดนหลอกปุ๊บจะเสิร์ชว่า แจ้งความออนไลน์ พวกนี้ก็ไปดักไว้อีก ไปสร้างเพจปลอม เว็บไซต์ปลอมไว้อีก ก็โดนหลอกเป็นรอบที่ 2 อีก หรือไปเสิร์ชหาเบอร์โทรทนายความ พวกนี้ก็ไปสร้างเพจปลอมว่าเป็นทนายความอีก โดนหลอกอีกเป็นรอบที่ 3 อันนี้ก็ฝากกระทรวงดิจิทัล ให้ไปหาวิธีไล่ปิดเพจ เว็บไซต์ พวกนี้ให้ได้

 
ผู้ประกาศข่าวแชร์ประสบการณ์ตกเป็นเหยื่อ

นางสาวประวีณมัย กล่าวว่า คดีที่ตนเองถูกมิจฉาชีพหลอกขณะนี้อยู่ที่ สอท.1 พนักงานสอบสวนแจ้งว่า ตามจับบัญชีม้าได้ทั้งหมด 6 คน แต่เรื่องของเส้นทางทางการเงินต้องรอขยายผลต่อ ส่วน 6 คนนี้ อยู่ระหว่างการส่งฟ้อง ซึ่งเงินที่เข้าบัญชีม้าเมื่อเข้ามาเสร็จก็จะออกไปอย่างรวดเร็ว และคนที่เป็นเจ้าของบัญชี จะเป็นคนที่ไม่มีเงินเลย ยอมติดคุก แต่มีเคสที่น่าสนใจคือ บางคนไม่ได้เปิดบัญชีม้าอย่างเดียว แต่ไปหาบัญชีม้าของคนอื่น ๆ มาด้วย บางคนมีพฤติกรรมเดินข้ามไปฝั่งชายแดน วันที่เกิดเหตุ และมีหลักฐานว่าไปโอนเงินออก แล้วก็ข้ามกลับมา

นางสาวประวีณมัย กล่าวว่า คดีที่ตนเองถูกมิจฉาชีพหลอกขณะนี้อยู่ที่ สอท.1 พนักงานสอบสวนแจ้งว่า ตามจับบัญชีม้าได้ทั้งหมด 6 คน แต่เรื่องของเส้นทางทางการเงินต้องรอขยายผลต่อ ส่วน 6 คนนี้ อยู่ระหว่างการส่งฟ้อง ซึ่งเงินที่เข้าบัญชีม้าเมื่อเข้ามาเสร็จก็จะออกไปอย่างรวดเร็ว และคนที่เป็นเจ้าของบัญชี จะเป็นคนที่ไม่มีเงินเลย ยอมติดคุก แต่มีเคสที่น่าสนใจคือ บางคนไม่ได้เปิดบัญชีม้าอย่างเดียว แต่ไปหาบัญชีม้าของคนอื่น ๆ มาด้วย บางคนมีพฤติกรรมเดินข้ามไปฝั่งชายแดน วันที่เกิดเหตุ และมีหลักฐานว่าไปโอนเงินออก แล้วก็ข้ามกลับมา


กองทุนสื่อฯ เดินหน้าผนึกภาคีสร้างการรู้เท่าทัน

ดร. ธนกร กล่าวว่า กลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่ได้รับข้อมูลข่าวสาร ทำอย่างไรถึงจะทำให้คนกลุ่มนี้ได้รู้ และเข้าถึงข้อมูล เราก็น่าจะทำโครงการ โดยให้ สอท. สนับสนุนข้อมูล เคสหลักๆ เรื่องหลัก ๆ ที่ประชาชนควรรู้ และเชิญผู้เชียวชาญ เช่น สมาคมโฆษณา เป็นผู้ผลิตคลิปสั้น ๆ เข้าใจง่าย ๆ พูดแล้วชาวบ้านเข้าใจเลย ส่วนเรื่องการบูรณาการความร่วมมือ หลัก ๆ น่าจะเป็นเรื่องธนาคาร กระทรวง DES ขยับแล้ว ถ้าธนาคารขยับ กสทช. ขยับ ก็เชื่อว่าน่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น 

อีกเรื่องหนึ่งคือ การทำงานร่วมกับกลุ่มผู้สูงอายุ กลายเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักกลุ่มหนึ่ง เพราะผู้สูงอายุใช้โซเชียลมีเดีย แต่บางทีลูกหลานเอาไปเล่น ก็จะมีช่องให้มิจฉาชีพเข้ามา ก็จะต้องสร้างการสื่อสารเฉพาะกลุ่มขึ้นมา กองทุนสื่อฯ เชื่อเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกัน เรื่องการรู้เท่าทันสื่อ เราคิดว่าเป็นวัคซีนทางสังคม หรือวัคซีนทางปัญญา เอ๊ะ ไว้ก่อน เราจะพยายามทุกวิถีทางที่จะทำเรื่องนี้ ให้เกิดการขับเคลื่อนในระดับประเทศให้ได้