วงเสวนา “ถอดบทเรียนการตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเทศไทย สู่การสร้างความร่วมมือของภาคีเครือข่าย” เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่าน ณ โรงแรมเอส 31 สุขุมวิท มีองค์กรภาคีที่มีบทบาทในการทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงสถานการณ์ข่าวปลอม ข่าวบิดเบือนในประเทศไทย การทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมถึงวิธีการรับมืออย่างรู้เท่าทัน ประกอบด้วย กุลธิดา สามะพุทธิ Fact checker ประจำกองบรรณาธิการ Co-Fact ประเทศไทย, พีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท, ดร.สันติภาพ เพิ่มมงคลทรัพย์ รองผู้อํานวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ ดร.ชำนาญ งามมณีอุดม รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
กุลธิดา สามะพุทธิ Fact checker ประจำกองบรรณาธิการ Co-Fact ประเทศไทย กล่าวถึงบทบาทขององค์กรตนเองว่า
“Co-Fact มีที่มาจากคําว่า collaborative Fact checking เป็นองค์กรภาคประชาชน ก่อตั้งเมื่อปี 2562 มีองค์กรร่วมก่อตั้งทั้งหมด 8 องค์กร มีทั้งองค์กรภาคประชาชนที่ทํางานด้านสิทธิเสรีภาพ สื่อมวลชน ภาควิชาการ ปัจจุบัน Co-Fact ทํางานหลายด้าน ทั้งเสริมศักยภาพ นักตรวจสอบข้อเท็จจริง จัดวงพูดคุยเสวนาวิชาการ ที่สําคัญมีกองบก.เล็ก ๆ ในการทํางานด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านเกี่ยวกับผู้บริโภค ด้านสุขภาพ ด้านการตรวจสอบข่าวลวงทางการเมืองด้วย”
กุลธิดา เล่าให้ฟังถึงสถานการณ์การทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงของ Co-Fact ด้วยว่า ข่าวลวงในปัจจุบัน โดยเฉพาะการเมืองปีนี้เป็นปีที่ร้อนแรงมากมีข้อมูลข่าวลวงข่าวบิดเบือนเกิดขึ้นเยอะมาก โดยได้ต้อง ข้อสังเกตจาการทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงไว้ 3 ประการ คือ เยอะมาก ฆ่าไม่ตาย และเกิดซ้ำๆ ได้อีก
“จากการทํางานดิฉันมีข้อสังเกต 3 ประการ คือข่าวลวงมีเยอะมาก นอกจากเยอะแล้วยังฆ่าไม่ตายด้วย ต่อให้เราหักล้างยังไงมันก็ยังคงอยู่ หลายประเด็นที่เราหักล้างไปแล้วมันวนซ้ำกลับมาอีก ในฐานะที่เป็น fact checker เองก็เสียใจเหมือนกันว่าทําไมมันถึงหยุดไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายมากคิดว่าเครือข่ายของเราอาจจะช่วยกันคิดว่าเราจะทํายังไงให้มันหมดไปได้จริง ๆ”
กุลธิดา ยังต้องข้อสังเกตด้วยว่า disinformation จัดการยากกว่า misinformation เพราะmisinformation คือข้อมูลผิดที่มีการส่งต่อโดยเชื่อว่าเป็นข้อมูลจริง ที่ไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่ disinformation คือข้อมูลบิดเบือนที่จงใจผลิตโดยมีเจตนาจะสร้างความเสียหายต่อผู้อื่น โดยเฉพาะประเด็นการเมืองจะพบ disinformation เยอะกว่า misinformation และจัดการได้ยากกว่าด้วย เนื่องจากเป็นการเผยแพร่อย่างจงใจจึงเป็นเหตุผลที่ทําให้เราฆ่ามันไม่ตาย เพราะมีคนพร้อมจะส่งแม้จะรู้อยู่แล้วว่ามันไม่จริง
“ข้อสังเกตสุดท้าย การทํางานในฐานะ fact checker ในการประสานงานขอข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ มักจะได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี เนื่องด้วยทุกฝ่ายให้ความสำคัญกับการให้ข้อเท็จจริงกับประชาชน และอาจจะเป็นเพราะ position ของ co-fact มีความเป็นอิสระ การที่ IFCN (International Fact-Checking Network) ให้ความสําคัญกับความโปร่งใสขององค์กรน่าจะเป็นส่วนหนึ่งด้วย จากเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมาคิดว่าการที่เราสร้างเครือข่าย fact checker ขึ้นมาในตอนนี้เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับสถานการณ์มาก และเป็นประโยชน์มากด้วยเช่นกัน ในฐานะที่เป็น fact checker เองทําให้มีกําลังใจที่จะเป็นช้อนชาในการตักน้ำเสียออกจากแม่น้ำต่อไป”
พีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท มีข้อคิดเห็นต่อกรณีข่าวลวง ข่าวบิดเบือนคล้ายกับ co-fact ว่า มีเยอะและจัดการได้ยากเพราะมีขั้นตอน
“ชัวร์ก่อนแชร์ เราพบคล้ายที่คุณกุลพูด มันเยอะและแก้ไขยากเลือกไม่ถูก อย่าง AFP เขามีกลยุทธ์ในการเลือกคือ เลือกอันที่กระทบมากและเสียหายรุนแรง ที่ต้องเลือกเพราะแต่ละเรื่องมันทํายาก fact checking แต่ละเรื่องมีขั้นตอน เจอแรงเสียดทานหลายอย่าง ถึงแม้จะต้องเจอแบบนี้ แล้วเป็นช้อนชาไปตักขยะในคลองเราก็จําเป็นต้องทำเพราะประชาชนมีเวลาตรวจสอบน้อย เวลาถูกเปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่เป็นมูลค่ากับเขา fact checker คอนเทนต์หรือข้อเท็จจริงจะเป็นส่วนไปเสริมทําให้ชีวิตเขาง่ายขึ้น ดีขึ้น”
สิ่งที่ชัวร์ก่อนแชร์ได้รับบทเรียนมา เราอยากจะทําให้คนป้องกันตัวเองเป็น คือต้องไม่แชร์และไม่เชื่อด้วยซ้ำ ศัพท์ทางไซเบอร์ security จะมีคําว่า zero touch ผมคิดว่าวิธีนี้อาจจะยกมาใช้กับเราได้เหมือนกัน คืออย่าเพิ่งเชื่อเอาไว้ก่อน ถ้าเรื่องมันสําคัญและจําเป็นกับเราจริง ๆ ก็ให้ความสําคัญกับมันในการตรวจสอบเพิ่มเติม”
ดร.สันติภาพ เพิ่มมงคลทรัพย์ รองผู้อํานวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แสดงทัศนะเห็นด้วยต่องานวิจัยของนิด้าและลาดกระบัง ที่มาเป็นส่วนเสริมแนวทางการแก้ไขตรวจสอบข้อเท็จจริงให้กับภาคีเครือข่ายต่อไป
“ปกติเราทํางานจากประสบการณ์ไม่มีเวลาไปทำวิจัย เราไม่มีกําลังคนที่จะทําเรื่องการวิจัยพวกนี้ ปกติเรายินดีกับทุกหน่วยงานที่ต้องการจะทํางานวิจัยและต้องการข้อมูลของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เราก็จะแชร์ให้ตลอดเพื่อให้เกิดข้อค้นพบใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดบทสรุปของข่าวปลอม ว่ามีรูปแบบอย่างไรบ้าง ซึ่งทั้งสองงานวิจัยก็ทําได้อย่างยอดเยี่ยม ต้องขอบคุณกองทุนสื่อฯ ด้วยที่ให้ทุน เพราะมันเป็นสิ่งจําเป็น และเป็นเรื่องที่สําคัญต่อประเทศในอนาคต”
ดร.สันติภาพ ยังแสดงทัศนะเสริมเรื่องการใช้เงินเป็นแจงจูงใจในการสร้างความสนใจการตรวจสอบข้อมูลของข่าวลวงข่าวปลอมด้วยว่า
“ต่อไปเราจะต้องใช้เงินในการขับเคลื่อน กรณีช่วยกัน report เหมือนแจ้งจับ ใครแจ้งปุ๊บจับได้มีเรื่องของมูลค่ามอบให้เพื่อเป็นแรงจูงใจให้คนมาสนใจเรื่องนี้เยอะขึ้น เชื่อว่าหลาย ๆ คนไม่ได้มองว่าเราเป็นช้อนซะทีเดียว เราทําตัวเป็นเหมือนเครื่องกรอง เป็นภูมิต้านทานที่อยู่ที่บ้าน เราต้องการจะเป็นอย่างนั้น สุดท้ายเขาจะรู้ว่าต้องป้องกันตัวเองอย่างไร หรือถ้าไม่รู้ก็สามารถสอบถามผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อจะป้องกันตัวเองทําให้ทุกคนมีภูมิต้านทานมากยิ่งขึ้น ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนก่อน อย่ารีบร้อนเกินไป ต้องหาข้อมูล ต้องมีการป้องกันตัวเองในระดับหนึ่ง”
ดร.สันติภาพ ยังได้กล่าวทิ้งทายถึงความร่วมมือในการส่งต่อข้อมูลในฐานะที่เป็นหน่วยงานของภาครัฐ ให้กับองค์กรภาคีต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป
ดร.ชำนาญ งามมณีอุดม รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ได้กล่าวถึงบทบาทของกองทุนสื่อฯ ต่อการทำงานสนับสนุนด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า
“เราคงไม่เรียกตัวเองว่าเป็นศูนย์กลาง เรียกว่าเราเป็นศูนย์ในการประสานความร่วมมือ มองว่าการตรวจสอบข้อเท็จจริงเริ่มจากการชี้เบาะแส เราต้องรู้ว่าเราจะต้องส่งต่อให้ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงคนไหน จากนั้นต้องมีการตรวจสอบยืนยัน บรรณาธิการอ่านผลการตรวจสอบ จากนั้นก็เก็บเป็นข้อมูลแล้วเผยแพร่ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จะเป็นผู้สนับสนุนภาคีเครือข่ายหากต้องการมีการบูรณาการร่วมกันในการทํางาน นอกจากภาคีที่เป็นพันธมิตรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นองค์กร สื่อมวลชนต่าง ๆ สํานักข่าวต่าง ๆ ก็ควรจะต้องมีการนําเอากระบวนการและการตรวจสอบข้อเท็จจริงไปใช้ในกระบวนการบรรณาธิการต่อไป ที่สำคัญหน่วยงานภาครัฐ หรือองค์การมหาชน หรือหน่วยงานต่าง ๆ ควรจะต้องมีกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้อยู่ในหน่วยงานตัวเองด้วย
“กองทุนสื่อฯ ไม่ได้ทําหน้าที่ในการตรวจสอบข่าวปลอมด้วยตัวเอง แต่ทํางานร่วมกับภาคีเครือข่าย เรามีการอบรมให้ความรู้ ทําหลักสูตรพัฒนาผู้ตรวจสอบข่าวปลอมร่วมกับ AFP มานานแล้ว และในปีนี้เราจะทําขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งคือจะจัดอบรมบรรณาธิการในการตรวจสอบข่าวปลอม เหมือนเป็นคนยืนยันข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เป็นผลการตรวจสอบ การอบรมให้ความรู้ เราทำงานร่วมกับกระทรวงดิจิทัล ไปอบรมตามสถานศึกษาต่างๆ ให้เด็กและเยาวชนด้วย ที่บอกว่าเราเป็นช้อนชา จะมาตักน้ำเสียออกจากแม่น้ำมันดูเหนื่อยดูสิ้นหวังมาก แต่ถ้าเรามีสัก 68 ล้านช้อน ผมว่าเราอาจจะตักออกหมดก็ได้”
Cookie | Duration | Description |
---|---|---|
cookielawinfo-checkbox-analytics | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Analytics". |
cookielawinfo-checkbox-functional | 11 months | The cookie is set by GDPR cookie consent to record the user consent for the cookies in the category "Functional". |
cookielawinfo-checkbox-necessary | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookies is used to store the user consent for the cookies in the category "Necessary". |
cookielawinfo-checkbox-others | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Other. |
cookielawinfo-checkbox-performance | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Performance". |
viewed_cookie_policy | 11 months | The cookie is set by the GDPR Cookie Consent plugin and is used to store whether or not user has consented to the use of cookies. It does not store any personal data. |